วัดพระธาตุดอยสุเทพวรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่
จิตตวิสุทธิ์
คำว่า จิตตวิสุทธิ์ แปลว่า ความบริสุทธิ์แห่งจิต หมายถึง จิตที่เป็นสมาธิ จิตที่จะสงบ จิตที่จะเป็นสมาธิได้นั้นต้องเป็นจิตที่ประกอบด้วยคุณธรรมคือสติ ความระลึกรู้ และประกอบด้วยศีลเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ดังที่ได้กล่าวไว้ ตั้งแต่คราวก่อน เมื่ออบรมศีลดีแล้วจะเป็นเหตุให้เกิดสมาธิหรือบางทีท่านก็กล่าวถึงว่า จิตที่สงบนั้นต้องอาศัยกายที่สงบเรียกว่า กายวิเวก ความสงบความสงัดทางกาย หมายความว่า เราอยู่ในสถานที่สงบสงัดไม่มีเสียงอื้ออึง และทางกายของเราก็ไม่ทำผิดในทางกาย เมื่อมีกายวิเวกความสงบสงัดทางกายแล้วจะเป็นเหตุให้เกิด
จิตวิเวก ความสงบความสงัดทางจิตเมื่อเราได้ฝึกจิตให้สงบแล้วจะเป็นเหตุให้เกิด อุปธีวิเวก ความสงบจากกิเลส ความสงบเป็นเหตุให้เกิดความสุข “ นัตถิสันติปรังสุขัง ” สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี สงบน้อย สงบพอประมาณ สงบมากก็มีความสุขมาก
สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นเรียกว่าจิตมีสมาธิจิตที่ประกอบด้วย คุณธรรม ซึ่งเป็นสมาธิจะทำให้จิตของเรามีสมาธิ ถ้าหากว่าจะกล่าวในเรื่องของขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตั้งจิตนั้นคือ ตัววิญญาณขันธ์ เป็นธรรมชาติรู้อารมณ์นึกคิด ส่วนตัวสมาธินั้นเป็นสังขาร สมาธิเป็นสังขาร ขันธ์ ฝ่ายกุศลเรียก “เอกัคตาเจตสิก” แปลว่า เจตสิกที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง หมายความถึงว่า เมื่อเจตสิกที่เรียกว่า เอกัตาสิกนี้เกิดประกอบกับจิตแล้ว จะทำให้จิตของเรานั้นมีสมาธิคือตั้งมั่นแต่ว่าการตั้งมั่นนี้มีถึง 3 ระยะ คือ ขณิกสมาธิ ตั้งมั่น ชั่วขณะ อุปจารสมาธิ ตั้งมั่นใกล้จะแนบแน่น อัปนาสมาธิ ตั้งมั่นแนบแน่นถึงความเป็นฌาณ
ในขณะที่ท่านทั้งหลายกำลังฟังธรรมนั้น ก็คือว่าจิตของท่านมีสมาธิ ถ้าหากว่าท่านมีสติกำหนดเนื้อความที่ได้ฟังนี้ทุกขณะจิตไม่คิดล่องลอยไปทางอื่นถือว่าจิตของท่านมีสมาธิ แต่ถ้าหากว่าจิตของท่าน คิดฟุ้งซ่าน ล่องลอยไปทางอื่นแล้วแสดงว่าจิตของท่านนั้นไม่มีสมาธิ ไม่ได้อยู่ที่ท่านกำลังฟังอยู่ในขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอน คู้เหยียด เคลื่อนไหว ก็ถือว่าจิตของท่านสมาธิเวทนาเกิดขึ้นเป็นความสุขหรือความทุกข์ ให้มีสติรู้ก็ถือว่ามีสมาธิ จิตคิดอะไรก็มีสติรู้ก็ถือว่าสมาธิ
การที่จิตของเราไปตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือที่เรียกว่า ชั่วขณะจิตหนึ่งอย่างนี้เรียกว่า จิตของท่านมีสมาธิแล้ว แต่ถ้าหากว่าไปรู้ด้วย ความโลภ โกรธ หลง ด้วยความคิดฟุ้งซ่าน อันเกิดจากกิเลสนั้นถือว่าไม่มีสมาธิ เพราะว่า สมาธินี้เป็นอกุศลธรรมเมื่อเรารู้แล้ว เกิดสติปัญญาจิต เป็นกุศล จึงเชื่อว่าจิตนั้นมีสมาธิ
ขณิกสมาธิ ตั้งมั่นชั่วขณะหนึ่งก็หมายความว่า เราเจริญกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตตั้งมั่นชั่วขณะหนึ่ง เช่น กำหนดรูปนั่งดูอาการของรูปนั่นอยู่ก็มีขณิกสมาธิ หรือกำหนดรูปยืน รูปเดิน หรือกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อจิตของเราตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์กรรมฐานนั้น ขณะชั่วครู่หรือเป็นพัก ๆ อย่างนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นชั่วขณะหนึ่งเมื่อปฏิบัติจนสมาธิแน่นิ่ง แต่ว่ายังไม่แนบแน่นจนเกิดเป็นนิมิตเป็นสีแจ้งต่าง ๆ หรือจิตนั้นมันอยู่ทีอารมณ์กรรมฐานนิ่งอยู่มาก ๆ ก็เรียกว่าอุปจารสมาธิ แปลว่า สมาธิใกล้จะถึงความเป็นญาณ บางทีเรียกว่า สมาธิอย่างเฉียด ๆ ก็ถือว่าใกล้จะถึงความเป็นญาณ ใกล้จะแนบแน่น เมื่อปฏิบัติสมถะกรรมฐาน กำหนดอารมณ์กรรมฐาน เช่น กสิน 10 อสุภะ 10 อย่างใดอย่างหนึ่ง จิตสงบมากนิ่งดีงามนาน ๆ เห็นสีแสงนิมิตต่างๆ แล้วก็กำหนดแนบแน่นอยู่ทีอารมณ์กรรมฐานนั้นจนไม่สนใจอารมณ์อื่นแนบแน่นอยู่เป็นเวลานาน ๆ จนองค์ฌานเกิดเรียกว่า อัปปนาสมาธิ แปลว่าสมาธิแนบแน่นหรือถึงความเป็นฌาน
คำว่า ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายความว่าอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งโดยแนบแน่นไม่สนใจอารมณ์อื่นนี้เรียกว่า ฌาน
ฌาน มี 2 ประเภท คืออารัมมณูปนิชฌาน ฌานที่กำหนดอารมณ์ แห่งสมาธิกรรมฐานแล้วเกิดองค์ฌานขึ้นอย่างนี้เรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน ถ้าหากว่าเราเจริญวิปัสสนาจนได้วิปัสสนาฌานขั้นสูงกำหนดแนบแน่นอยู่ในอารมณ์วิปัสสนาอย่างนี้ เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน แปลว่า ฌานที่เพ่งในอารมณ์ที่เป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ที่บรรลุมรรคผลนั้นจะต้องเข้าถึงลักขณูปนิชญาน คือ ฌานที่เอาไตรลักษณ์เป็นอารมณ์เพ่งอยู่ที่รูปนามจนเป็นไตรลักษณ์อย่างแนบแน่นสนิท ไม่คิดถึงเรื่องอื่นอย่างนี้เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน
“สำหรับจิตตวิสุทธินี้ ก็คือ จิตที่มีสมาธินั้นเอง”
แหล่งที่มา :
บุญเลิศ วงศ์คำหาญ. 2543. จิตตวิสุทธิ์ . วารสารชาวพุทธ. สุภาการพิมพ์ ถนนจรัลสนิทวงศ์
กรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ. หน้า 9-10.
เผยแพร่เป็นธรรมทาน
เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท มิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าที่ เจ้าทาง แม่นางธรณี ผีบ้าน ผีเรือน ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ สัมภเวสีทั้งหลาย และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวง
ขอให้ท่านทั้งหลายจงอนุโมทนาในบุญกุศลนี้ และจงได้รับในบุญกุศลนี้โดยทั่วหน้ากันเทอญ.
ถ้าท่านมีทุกข์ ขอให้ท่านพ้นทุกข์ ถ้าท่านมีสุขอยู่แล้ว ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น